SabyEnglish

ฝึกภาษาอังกฤษ สนทนาภาษาอังกฤษ (English Conversation) และ โครงสร้างและการใช้ Tenses ต่างๆ

Saturday, August 2, 2014

มารู้จักคำศัพท์เกี่ยวกับ สี ในภาษาอังกฤษ กัน

คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับสีในภาษาอังกฤษ

Color/ Colour   สี
Bright               สีฉูดฉาด
Plain                 สีเรียบๆ
Yellow              สีเหลือง
Blond               สีเหลืองอ่อนๆ
Red                  สีแดง
Crimson            สีแดงเข้ม
Pink                  สีชมพู
Black                สีดำ
White                สีขาว
Green                สีเขียว
Dark blue           สีน้ำเงินเข้ม
Blue                   สีน้ำเงิน
Light blue           สีฟ้า
Turquoise           สีฟ้าคราม
Purple                สีม่วง
Orange               สีส้ม
Gray                   สีเทา
Brown                สีน้ำตาล
Beige                  สีเบจ(น้ำตาลอ่อน)

*Color กับ Colour ในภาษาอังกฤษนั้น แปลว่า สี เหมือนกัน ที่ต่างกันก็คือ
Colour เป็นของ British แต่ Color เป็นของ American

การออกเสียงนั้นเหมือนกันครับ แต่สำเนียงแตกต่างกัน

มารู้จัก คำศัพท์ของเดือนภาษาอังกฤษ กันเถอะ

เดือน ในภาษาอังกฤษ คือ Month

ในแต่ละเดือนเรียกว่ายังไงบ้าง
January      มกราคม
February    กุมภาพันธ์
March        มีนาคม
April          เมษายน
May           พฤษภาคม
June            มิถุนายน
July             กรกฎาคม
August        สิงหาคม
September  กันยายน
October      ตุลาคม
November   พฤศจิกายน
December   ธันวาคม

คำศัพท์สำหรับเดือนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม
next month   เดือนหน้า
last month    เดือนที่แล้ว
previous month เดือนก่อน
next two months สองเดือนข้างหน้า
this month    เดือนนี้
some months ago เดือนก่อนๆ
monthly รายเดือน
per month  รายเดือน
bimonthly รายสองเดือน

Thursday, July 31, 2014

ไม่เป็นไร ภาษาอังกฤษ ใช้อะไรได้บ้าง

ไม่เป็นไรภาษาอังกฤษใช้อะไรได้บ้าง 

กรณีแรก ไปทำอะไรให้ใครช่วยอะไรใครแล้วอีกฝ่ายขอบคุณเรามา เราก็สามารถตอบกลับไปได้หลายคำเช่น

You're welcome  ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ
Not at all  ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ
My pleasure. เต็มใจครับ/ค่ะ
Sure./Of course แน่นอนเพื่อน (ไม่เป็นทางการ ใช้กับเพื่อนฝูง)
You're welcome. It was my pleasure. ไม่เป็นไรครับ ผมทำด้วยความเต็มใจ

กรณีสอง เขามาเหยียบเท้าแล้วขอโทษ เดินชนเราหรืออะไรละขอโทษเรา เราก็จะสามารถตอบไม่เป็นไรกลับไปได้ว่า

It's OK / That's OK    ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ 
No problem !  ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา
That's alright  ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ
Don't mention it ไม่เป็นไร ประมาณว่าอย่ากล่าวถึงมันเลย ไม่เป็นไร
Forget it  ไม่เป็นไร ลืมมันซะ (ไม่เป็นทางการ)

Never mind./ It doesn't matter ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ออกแนวเชิงลบๆมากขึ้น

Thank you. (for lending me a pen) ขอบคุณที่ให้ยืมปากกา
Never mind ช่างมันเหอะ ไม่เป็นไรอารมณ์หยาบๆนิดนึง


English conversation : A Business Call

English conversation สนทนาภาษาอังกฤษ

A Bussiness Call การติดต่อธุรกิจทางโทรศัพท์

Johnson : Hello, This is Johnson from the United States.
               สวัสดีครับ ผมจอห์นสันจากอเมริกา คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม
Secretary : I don't speak English very well, so please speak slowly.
                ฉันพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก กรุณาพูดช้าๆหน่อยนะค่ะ
Johnson : May I speak to Mr. Sawang of the sales department?
               ขอผมพูดกับคุณแสวงฝ่ายขายได้ไหมครับ
Secretary : One moment, please.
                 กรุณารอสักครู่นะค่ะ
Sawang : Hello, This is Sawang speaking. Is that you, Mr Johnson? How are you?
              สวัสดีครับ ผมแสวงครับ คุณคือคุณจอห์นสันใช่ไหมครับ สบายดีไหมครับ
Johnson :  I'm fine, thank you. How are you?
                สบายดีครับ ขอบคุณ แล้วคุณล่ะ
Sawang : Very well, thank you. What can I do for you today?
               สบายดีครับ วันนี้ ให้ผมรับใช้อะไรครับ
Johnson : I'd like to know if the T project is going ahead on schedule.
              ผมอยากทราบว่าโครงการที ดำเนินการเป็นไปตามแผนรึป่าว
Sawang : There's no problem. Don't worry about it.
               ไม่มีปัญหาครับ อย่ากังวลไปเลย

Tuesday, July 29, 2014

Conversation: เกี่ยวกับเครื่องดนตรี

Do you play a musical instrument?
คุณเล่นเครื่องดนตรีเป็นไหม

- Yes, I play the piano and the guitar. I am also in a rock band.
   เล่นเป็นครับ ผมเล่นเปียโนกับกีต้าร์ได้ ผมเป็นสมาชิกวงดนตรีร็อคด้วย
- Yes, I play the violin. Everyone in my family plays an instrument.
   เป็นค่ะ ฉันเล่นไวโอลิน ครอบครัวของฉันเล่นดนตรีเป็นทุกคน
- Yes I have played the guitar since middle school
   เป็นครับ ผมเล่นกีต้าร์มาตั้งแต่มัธยมต้น
- I used to play the flute. But since high school, I have no time.
   ผมเคยเล่นฟลุตได้ครับ แต่ผมไม่มีเวลาเล่นอีกเลย ตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย
- Not really. I used to play the piano, but not since high school.
  เล่นไม่ค่อยเป็นครับ ผมเคยเล่นเปียโน แต่ไม่ได้เล่นอีกเลยตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย

How long have you played?
คุณเล่นมานานแค่ไหนแล้ว

- I've played for about ten years ผมเล่นมาราวๆ 10 ปีแล้ว
- I've played since I was twelve. ฉันเล่นตั้งแต่อายุ 12 ปี
- I've played off and on since I was about eight.
   ฉันเล่นบ้างไม่เล่นบ้าง ตั้งแต่ฉัน 8 ขวบ

How old were you when you started?
คุณเริ่มเล่นมาตั้งแต่อายุเท่าไหร่

- I was about ten when I started. ผมเริ่มเล่นครั้งแรกตอน 10 ขวบ
- I started when I was in middle school. ผมเริ่มเล่นตอนมัธยมต้น
- I started about five years ago. ฉันเริ่มเล่นประมาณ 5 ปีที่แล้ว

Are you good ? คุณเล่นเก่งหรือป่าว

- Pretty good. I won a contest once. ค่อนข้างเก่ง ฉันเคยแข่งชนะหนึ่งครั้ง
- To be honest, yes. I'm pretty good. I could have been a music major but I choose English instead.
   พูดตรงๆเลยนะ ก็ค่อนข้างเก่ง ที่จริงฉันควรจะเรียนเอกดนตรี แต่กลับเลือกเอกภาษาอังกฤษ
- I used to be pretty good, but now I'm just so-so. I have to study all the time, so I have no time to practice.
   เมื่อก่อนฉันเล่นเก่ง แต่ตอนนี้แค่พอได้ ฉันต้องเรียนตลอดเวลา จึงไม่มีเวลาซ้อมเลย
- Not really. เล่นไม่เก่งเลย

อยากรู้จักเครื่องดนตรีภาษาอังกฤษ อ่านต่อ >>> คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับเครื่องดนตรี

Monday, July 28, 2014

Tools ที่ช่วยในการ แปลไทยเป็นอังกฤษ หรืออังกฤษเป็นไทย

เราจะมาแนะนำ Tools ที่ช่วยได้การแปลภาษา ไม่ว่าจะแปลจากอังกฤษเป็นไทย หรือไทยเป็นอังกฤษ Tools ตัวนั้นคือ Google Translate นั่นเอง สามารถเข้าใช้ได้ง่ายๆที่ >>> Google แปลภาษา


จะมีปุ่มให้เลือกว่าแปลจาก ภาษาไทย เป็นอังกฤษ หรือภาษาอื่นๆ หรือจะอังกฤษ เป็นไทยก็ได้ แน่นอนว่าเจ้า Google Translate ช่วยอำนวยความสะดวกในการแปลได้แน่นอน แต่การแปลก็ไม่ได้แปลถูก 100% นะ !

เพราะคำศัพท์ภาษาอังกฤษคำนึงนั้น มีได้หลายความหมาย ใช้ในแต่ละเหตุการณ์คนละเหตุการณ์ ความหมายก็ต่างกันแล้ว Tools มีข้อดีแต่ก็มีข้อเสีย ซึ่งถ้าแปลประโยคแล้วไม่แน่ใจว่าถูกไหม ควรแปลทีละคำ แปลเฉพาะคำที่เราไม่รู้ แล้วมาเลือกความหมายของมัน


ซึ่งเมื่อเราแปลคำคำนึง จะมีคำแปลเพิ่มเติมทางด้านล่าง ดังรูป ให้เราลองพิจารณาว่าในประโยคนั้นๆ คำนี้ควรแปลว่าอย่างไร ซึ่งง่ายและรวดเร็วกว่าการเปิด Dictionary และใช้ได้ทั้งแปลไทยเป็นอังกฤษ หรือแปลอังกฤษเป็นไทยอีกด้วย ซึ่งถ้าใช้เป็น มันจะช่วยอำนวยความสะดวกในการฝึกภาษาอังกฤษ ของผู้ใช้เป็นอย่างดีเลย

น่ารัก ภาษาอังกฤษ Cute, Pretty หรือ Lovely ดี

น่ารัก ภาษาอังกฤษ สามารถใช้ได้หลายคำด้วยกัน เช่น

Cute คือน่ารัก โดย ความหมายของคำจะสามารถรวมจากรูปร่างหน้าตาภายนอกจนไปถึงบุคลิกของคนที่เราจะพูดถึงด้วย สามารถใช้ได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

Pretty คือน่ารัก หรือสวย โดยดูแค่หน้าตา ไม่ได้ดูถึงบุคลิก นิสัย และใช้ได้แค่ผู้หญิงเท่านั้น

Lovely ก็แปลว่าน่ารัก โดยจะดูกับนิสัย น่ารัก, อัธยาศัยดี มีมารยาท ประมาณนี้ ดูที่นิสัย ไม่ได้เจาะจงที่หน้าตา หรืออาจจะใช้กับสิ่งของก็ได้ ในลักษณะที่พึงพอใจกับสิ่งรอบตัว

Adorable เป็นอีกคำที่ความหมายเหมือน Cute

Beautiful แปลว่าสวย คล้ายคลึงกับ Pretty แต่จะดูสง่างามมากกว่า หรือสวยกว่านั่นแหละ

Charming สวยแบบมีเสน่ห์ดึงดูด สาวมีเสน่ห์ น่าประทับใจ ประมาณว่า ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอเลย

Sunday, July 27, 2014

What is love? ความรักคืออะไร

Many of us know intuitively that love is a major purpose for living; that connection is inherent in all that we do, and without love, we cannot survive as a species.
มีหลายคนได้บอกว่า รักคือจุดประสงค์หลักของการมีชีวิตอยู่ ความสัมพันธ์โดยธรรมชาติที่เราทำกัน ถ้าเราไม่มีความรัก มนุษย์จะไม่สามารถอยู่รอดได้

But what is love, and how do we know when we're in it?
แต่.. ความรักคืออะไร รักคืออะไรกันแน่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราได้รักใครเข้าแล้ว

เรามาเริ่มกับอะไรที่ไม่ใช่รักที่แท้จริงก่อน

 Manipulation (การควบคุมบังคับ)
 "If you loved me, then you would..." isn't love, but rather infatuation.
 ถ้าคุณรักฉัน คุณต้อง......   นั่นไม่ใช่ความรัก เป็นเพียงความหลงไหล

If someone asks you to do or say something that isn't in your nature, that isn't true love.
ถ้ามีคนมาสั่งให้คุณทำอะไรหรือพูดอะไรที่ไม่ใช่ในสิ่งที่คุณเป็น นั่นไม่ใช่ความรักที่แท้จริง

Just lust. (ความต้องการทางเพศ)
chemistry and physical attraction are important, but true love also includes commitment, trust and respect
เคมีในร่างกาย และธรรมชาติของกายภาพร่างกายที่ดึงดูดกันมีความสำคัญ แต่ความรักที่แท้จริง ก็ต้องประกอบไปด้วย ความไว้วางใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน(ไม่ใช่แค่ความต้องการทางเพศ)

True love is...  ความรักที่แท้จริง คือ

"Love has nothing to do with what you are expecting to get."
"only with what you are expecting to give which is everything"
รักคือการทำให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน หวังแต่การให้เท่านั้น รักคือทุกสิ่งทุกอย่าง

อะไรที่แสดงถึงความรัก

- Caring ห่วงใยซึ่งกันและกัน 
- Faithful ซื่อสัตย์ เขาจะไม่นอกใจ ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ดีร้ายยังไง เขาก็จะอยู่เคียงข้างคุณ
- Intimate ความใกล้ชิดสนิทสนม กับคนที่รัก สนใจใส่ใจซึ่งกันและกัน
- Forgive ยกโทษ  ยกโทษให้เมื่อทำผิดพลาด

ยังมีอีกหลายๆสิ่งที่สามารถสื่อได้ถึงความรัก ความรักไม่ใช่สิ่งตายตัว แล้วแต่บุคคล และนิสัยของบุคคลนั้นๆ ขอปิดท้ายด้วยคำคมภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความรักที่ว่า

"A life without love, is no life at all" 
ชีวิตที่อยู่โดยไม่มีความรัก  มันก็เหมือนกับการไม่มีชีวิตอยู่ 

Conversation : วัน เดือน ปี วันที่ภาษาอังกฤษ

Excuse me. What's the day today?  ขอโทษครับ วันนี้วันอะไร
Today is Monday. วันนี้วันจันทร์ค่ะ

Where were you born ? คุณเกิดที่ไหนครับ
I was born in a little town not far form here.
ฉันเกิดในเมืองเล็กๆแห่หนึ่งไมไกลจากที่นี่ค่ะ

What's the date today? วันนี้วันที่เท่าไหร่ครับ
Today is November second , nineteen ninety-five.
วันนี้เป็นวันที่สอง เดือนพฤศจิกายน 1995 ค่ะ

When were you born? คุณเกิดเมื่อไรครับ
I was born in January eleventh, nineteen ninety-five ฉันเกิดวันที่ 11 มกราคม 1995 ค่ะ

เนื่องจากการบอกวันที่ภาษาอังกฤษ จะใช้ตัวเลขเป็นลำดับที่เฉพาะ จากตัวอย่างสนทนาภาษาอังกฤษด้านบน ด้านล่างนี่คือตารางลำดับที่ทั้ง 31 ตัวเลข ถ้าลองสังเกต เลขที่ไม่ได้ลงท้ายด้วย 1,2,3 จะเติม th ไปเติมทันที ส่วนเลข 1,2,3 จะได้ตัวแรกเฉพาะมาแทนคือ first,second,third

วันที่ภาษาอังกฤษ
1stfirst
2ndsecond
3rdthird
4thforth
5thfifth
6thsixth
7thseventh
8theighth
9thninth
10thtenth
11theleventh
12thtwelfth
13ththirteenth
14thfourteenth
15thfifteenth
16thsixteenth
17thseventeenth
18theighteenth
19thnineteenth
20thtwentieth
21sttwenty-first
22ndtwenty-second
23rdtwenty-third
24thtwenty-fourth
25thtwenty-fifth
26thtwenty-sixth
27thtwenty-seventh
28thtwenty-eighth
29thtwenty-ninth
30ththirtieth
31stthirty-first

Saturday, July 26, 2014

คำคมคนดัง ภาษาอังกฤษ

A person who lives right, and is right, has more power in their silence than another has by words.
บุคคลที่มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องและเหมาะสมแม้อยู่ในความเงียบก็แลมีอำนาจมากกว่าผู้อื่น
#Phillips Brook

A wise man will make more opportunities than he finds.
คนที่ฉลาดคือคนที่สร้างโอกาสมากกว่าที่เขาหาได้
#Francis Bacon

Age does not protect you from love. But love to some extent, protects you from age.
อายุป้องกันคุณจากความรักไม่ได้ แต่ความรักที่พอเหมาะ ปกป้องคุณจากอายุได้
#Jeanne Moreau

And he that strives to touch the stars, Oft stumbles at a straws.
คนที่พยายามจะสัมผัสดวงดาว มักจะพลาดกับสิ่งเล็กน้อย
#Edmund Spenser

Beware of small expense. a small leak will sink a great ship.
จงระวังสิ่งเล็กๆน้อยๆ รอยรั่วเล็กๆ อาจจทำให้เรือใหญ่ล่ม
#Benjamin Franklin

Do not be too timid and squeamish about your actions. All life is an experiment.
อย่าขาดวามมั่นใจตัวเองและตระหนกตกในสิ่งที่คุณทำ ทุกๆสิ่งคือประสบการณ์
#Ralph waldo Emerson

Do or do not. there is no try.
การตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำ ไม่ต้องใช้ความพยายามแต่อย่างใด
#Yoda

Do what you can, with what you have, where you are.
ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ พร้อมกับสิ่งที่คุณมีและที่ที่คุณอยู่
#Theodore Roosevelt

Even a step back can be fatal.
แม้แต่การถอยหลังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้
#W.Brudzinski

First say to yourself what you would be, and then do what you have to do.
สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งใจกับตัวเอง และลงมือทำ
#Epictetus

Forgive your enemies, but never forget their names.
จงยกโทษให้แก่ศัตรูของคุณ แต่อย่าลืมชื่อพวกเขาเด็ดขาด
#J.F.Kennedy

Freedom is nothing else but a chance to do better.
อิสระภาพ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย หากแต่คือโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น
#Albert Camus

Glory in life is not in never failing, But rising each time we fail.
ความสำเร็จในชีวิต ไม่ใช่การที่ไม่เคยพ่ายแพ้ หากแต่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ล้มเหลว
#Anonymous

God gives every bird it's food But he does not throw it into it's nest.
พระเจ้ามอบอาหารแก่นกทุกตัว แต่ท่านไม่เคยส่งอาหารถึงรังของนกเหล่านั้น
#Anonymous

Great minds discuss ideas. Average minds discuss events. Small minds discuss people.
จิตใจที่ยิ่งใหญ่วิพากษ์วิจารย์ความคิด จิตใจสามัญวิพากษ์วิจารย์เหตุการณ์ จิตใจที่ต่อยต่ำ วิจารย์เพียงผู้คน
#Anonymous

Great minds must be ready not only to take opportunity but to make them.
จิตใจที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แต่เตรียมพร้อมต่อโอกาส แต่ยังพร้อมที่จะลงมือทำ
#Colton

He who knows little often repeats it.
ใครที่รู้อะไรเพียงนิดหน่อย มักจะคุยโวถึงมัน
#Thomas Fuller

Heaven never helps the men who will not act.\
สวรรค์ไม่ช่วยคนเกียจคร้าน
#Henry Bergson

If we don't find anything very pleasant, at least we shall find something new.
ถึงแม้เราจะไม่พบสิ่งที่พอใจ อย่างน้อย เราก็ได้เจอสิ่งใหม่ๆ
#Voltaire

If you always do what interests you, then at least one person is pleased.
ถ้าคุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจ อย่างน้อยจะมีคนๆนึงพอใจในสิ่งที่คุณทำ
#Katherine Hepburn

If you don't stand for something, you'll fall for anything.
ถ้าคุณไม่อดทนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณจะล้มเหลวในทุกๆสิ่ง
#Anonymous

Life is a big canvas and you should throw all the paint you can on it.
ชีวิตเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่และคุณควรใช้สีทั้งหมดที่มีสร้างสรรค์มันขึ้นมา
#D.Kaye

Keep your eyes on the starts, and your feet one the ground.
สายตาจับจ้องที่ดวงดาว แลเท้ายังคงติดดิน
#Theodore Roosevett

Nature is as complex as it need to be... and no more.
ธรรมชาติซับซ้อนเท่าที่มันจำเป็น ไม่มากกว่านั้น
#Albert Einstein

Nobody has wisdom if he does not know the dark.
ไม่มีใครฉลาดโดยปราศจากได้รู้จักความโง่เขลามาก่อน
#H.Hesse

No bird soars too high if he soars with his own wings.
ไม่มีนกตัวใดบินสูงเกินไป ถ้ามันบินด้วยปีกของมันเอง
#William Blake

Only those who dare to fail great can ever achieve greatly.
คนที่กล้าจะพ่ายแพ้เท่านั้น ที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
#Robert F. Kennedy

Remember to always dream. More importantly to make those dreams come true and never give up.
จงฝันอยู่เสมอ ที่สำคัญกว่านั้น คือทำให้เป็นจริง และอย่ายอมแพ้
#Dr. Robert D. Ballard

To follow, without halt, one aim. There is the secret of success.
เคล็ดลับของความสำเร็จคือการเดินอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ถึงจุดหมาย
#Anna Pavlova

The only thing in life achieved without effort is failure.
มีเพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่ทำได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม คือความล้มเหลว
#Anonymous

The difference between the impossible and the possible lies in a man's determination.
เส้นบางๆระหว่าความเป็นไปได้กับเป็นไปไม่ได้คือการตัดสินใจของเรา
#Tommy Lasorda

This year's success was last year's impossibility.
ความสำเร็จของปีนี้ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในปีที่ผ่านมา
#Anonymous

Well done is better than well said.
ลงมือทำดี กว่าคำพูดที่สวยหรู
#Ben Franklin.

Who never made a mistake never made a discovery
คนที่ไม่เคยกระทำผิดคือคนที่ไม่ได้ค้นหาสิ่งใด
#Soren Kierkegaard

Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them.
บางคนฝันที่จะประสบความสำเร็จ ในขณะที่บางคนกำลังลงมือทำ
#Anonymous

You can fool all the people some of the time, and some of the people all the time, but you cannot fool all the people all the time.
คุณสามารถหลอกทุกคนได้บางเวลา และบางคนได้ตลอดเวลา แต่คุณไม่สามารถหลอกทุกคนได้ตลอดเวลา
#Abraham Lincoln

You know you're old when the candles cost more than the cake.
คุณจะรู้ตัวว่าคุณแก่ ก็ต่อเมื่อค่าเทียนที่จุดในงานวันเกิด แพงกว่าเค้ก
#Bob Hope

รวมประโยคบอกรักภาษาอังกฤษ ซึ้งๆ

วันนี้ผมได้ รวมประโยคบอกรักภาษาอังกฤษ มาให้อ่านกันครับ เผื่อจะเอาไปใช้กับคนที่คุณรัก ก็คงน่าซึ้งใจ ไม่น้อยเลย

I love you  ฉันรักคุณ
I really love you. / I do love you. ฉันรักคุณจริงๆ
I love you because it's you. ฉันรักคุณที่คุณเป็นคุณ
I love the real you. ฉันรักตัวตนที่แท้จริงของคุณ
I love you with all my heart. ฉันรักคุณหมดหัวใจเลย
I like you. ฉันชอบคุณ
I like your smile. ฉันชอบรอยยิ้มของคุณ
I find you very attractive ฉันเห็นว่าคุณมีเสน่ห์มาก
You make me tremble. คุณทำฉันหวั่นไหว
I have fallen in love with you รักคุณเข้าแล้ว
I miss you. ฉันคิดถึงคุณ
I miss you like crazy. ฉันคิดถึงคุณใจจะขาด
I enjoy spending time with you. ฉันสนุกมากเวลาอยู่กับคุณ
I'm so lonely without you. ไม่มีคุณ ฉันเหงามาก
I want you / I need you ฉันต้องการคุณ
I want to be with you. ฉันอยากอยู่กับคุณ
I want to be with you all the time. ฉันยากอยู่กับคุณ ตลอดเวลา
I want to be with you forever. ฉันอยากอยู่กับคุณตลอดไป
I will always love you. ฉันจะรักคุณตลอดไป
I'm serious about you ฉันจริงจังกับคุณนะ
I'm crazy about you ฉันคลั่งไคล้คุณ
I'm so happy being around you. ฉันมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้คุณ
You mean everything to me. คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉัน
You are my precious thing  คุณคือสิ่งมีค่าของฉัน
I love you only. ฉันรักคุณคนเดียวเท่านั้น
I will be faithful to you. ฉันจะซื่อสัตย์ต่อคุณ
I will never cheat on you. ฉันจะไม่นอกใจคุณ
My heart is all yours หัวใจของฉันเป็นของคุณทั้งหมด
My heart always has a room for you. หัวใจฉันว่างสำหรับคุณเสมอ
I can't love anyone else. ฉันรักใครไม่ได้อีกแล้ว
You 're mine. คุณเป็นของฉัน
You are my sweetheart. คุณคือสุดที่รักของฉัน

อ่านละอยากชวนใครออกเดตอ่านต่อที่ >>> อยากชวนออกเดต ภาษาอังกฤษ พูดยังไงดีนะ

Friday, July 25, 2014

การทักทาย เป็นไงบ้าง สบายดีไหม ภาษาอังกฤษ

ตัวอย่าประโยคคำถามคำตอบที่สามาถใช้ สนทนาภาษาอังกฤษ (English conversation) 
ในชีวิตประจำวันได้

ประโยคคำถามสำหรับถามว่าเป็นไงบ้าง สบายดีไหม ภาษาอังกฤษ

How are you?            สบายดีไหม
How's it going ?         เป็นอย่างไรบ้าง (ไม่เป็นทางการ)
How are you doing ? เป็นอย่างไรบ้าง (ไม่เป็นทางการ)
How's life ?               ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง (ไม่เป็นทางการ)
How are things ?        ทุกอย่างเป็นอย่างไรบ้าง  (ไม่เป็นทางการ)

สำหรับการตอบก็ตอบได้หลายแบบ

I'm fine, thanks.         ฉันสบายดี ขอบคุณ
I'm OK, thanks.        ฉันสบายดี ขอบคุณ
alright, thanks            เรียบร้อยดี ขอบคุณ
not too bad, thanks   ก็ไม่เลวนัก ขอบคุณ
not so well                ก็ไม่ดีเท่าไหร่

สบายดี ภาษาอังกฤษ ที่คนไทยอย่างเราถูกสอนให้ใช้จนชินคือคำว่า I'm fine Thank you. and you? ยังมีประโยคอีกมากที่เราสามารถใช้ได้ อ่านเพิ่มเติมที่ >>>เบื่อไหม I'm fine Thank you. and you ?

Conversation : คำถามคำตอบเกี่ยวกับภาควิชา

คำถามคำตอบเกี่ยวกับภาควิชา วิชาที่เรียน เอาไว้ใช้สนทนาภาษาอังกฤษ(English Conversation)

What is your major?/What year are you?
คุณเรียนวิชาเอกอะไร/คุณเรียนปีอะไร

1. My major is chemistry and I'm a fresh man.
    ฉันเรียนเอกเคมี ปี 1

2. My major is fashion design and I'm a sophomore
    ฉันเรียนเอกแฟชั่นดีไซน์ ปี 2

3 My major is English I'm a sophomore. But I was a junior chemistry major before I transferred here.
   ฉันเรียนเอกภาษาอังกฤษ ปี 2 แต่ฉันเคยเรียนเอกเคมี ปี 3 ก่อนย้ายมาเรียนที่นี่

4. I'm majoring in fine art and I'm a senior.
    ฉันกำลังเรียนเอกวิจิตรศิลป์ ปี 4

Did your parents help you choose your major ?
พ่อแม่ของคุณมีส่วนช่วยในการเลือกวิชาเอกหรือไม่

- Yes, my father wanted me to major in English.
   มีส่วน พ่ออยากให้ฉันเรียนเอกวิชาอังกฤษ 

- Sort of. I wanted to major in art, but my father said no.
  ก็มีส่วน ฉันอยากเรียนศิลปะ แต่พอบอกไม่ให้เรียน

- My parents said they not help me if I went into art.
  ท่านบอกจะไม่ช่วยเหลือฉัน ถ้าฉันเรียนเอกศิลปะ

- They said whatever I wanted was fine with them.
   ท่านบอกว่า แล้วแต่ผมอยากเรียนอะไร

Do you like your major?
คุณชอบวิชาเอกของคุณไหม

- Yes, I love it.  ใช่ฉันชอบมาก

- Not really. My parents made me major in this.
  ก็ไม่เชิง พ่อแม่ของฉันบังคับให้ฉันเรียนเอกวิชานี้

- I don't love it, but I should be able to get a good job.
   ฉันไม่ชอบหรอก แต่ก็คิดว่าน่าจะได้งานดีๆ ทำ

*freshman = ปี 1  , sophomore =  ปี 2 , junior = ปี 3 , senior = ปี 4
*สามารถท่องศัพท์เพิ่มเติมได้ >>> คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับภาควิชา

ความแตกต่างระหว่าง Funny, Fun และ Interesting

มาดูตัวอย่างการใช้ Funny, Fun และ Interesting กันเถอะว่าแตกต่างกันยังไง

Funny: ตลก
Jim is funny.                              จิมเป็นคนตลก
That comedian is funny.             นักแสดงตลกคนนั้นตลกดี
Dumb and Dumber was funny.  หนังเรื่อง Dumb and Dumber ตลกดี
Toy Story was a funny movie.   Toy Story เป็นหนังตลก

Fun: สนุก
My weekend was fun.          วันหยุดสุดสัปดาห์ของฉันเป็นวันที่สนุก
This computer game is fun.   เกมคอมพิวเตอร์อันนี้สนุก
Dream World is fun             สวนสนุกดรีมเวิร์ลสนุก
I'm having a lot of fun          ฉันสนุกมาก
Snowboarding is more fun than skiing.
เล่นสโนว์บอร์ดสนุกกว่าเล่นสกี (*ห้ามใช้ funner than เด็ดขาด)

Interesting : น่าสนใจ
An aquarium is interesting.  พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเป็นที่ที่น่าสนใจ
A museum is more interesting than a book.  พิพิธภัณฑ์น่าสนใจกว่าหนังสือ
This book about ghosts is interesting than a book. หนังสือแนวผีเล่มนี้น่าสนใจ
Are you interested in coming? คุณสนใจจะไปด้วยกันไหม
I like surfing the internet. I usually find some interesting sites.
ผมชอบเล่นอินเทอร์เน็ต ปกติผมชอบหาเว็ปไซต์ที่น่าสนใจ

Thursday, July 24, 2014

อยากชวนออกเดต ภาษาอังกฤษ พูดยังไงดีนะ

สนทนาภาษาอังกฤษ(English conversation)  คำถามสำหรับชวนออกเดต

Would you like to do something on Wednesday?
คุณอยากไปเที่ยวในวันพุธนี้ไหม

Are you busy on Tuesday?
วันอังคารคุณยุ่งไหม

Are you free on Monday?
วันจันทร์คุณว่างไหม

Do you have any plans this weekend?
คุณมีแผนการอะไรไหมในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้

What time are you free?
คุณว่างตอนไหน

What time is convenient?
คุณสะดวกตอนไหน

What time do you want to meet?
คุณจะเจอกันกี่โมงดี

Where do you want to meet?
คุณอยากเจอกันที่ไหน

Where can we meet?
เราจะเจอกันที่ไหนดี

Where exactly?
เจอกันที่ไหนดีล่ะ

What about meeting at .......?
เจอกันที่.......เป็นไง

I'm not familiar with that area.
ฉันไม่คุ้นเคยที่นั่น

How do you want to go?
คุณจะไปยังไง

Do you want to go by bus?
คุณอยากนั่งรถประจำทางไหม

Shall we just take a taxi?
เราไปแท็กซี่กันไหม

 การตอบตกลง คำชวนออกเดตก็พูดได้หลายอย่าง
- You bet.               อย่างนั้นแหละ
- I'd love to.           ดีค่ะ
- Sounds like fun.   ฟังน่าสนุก
- Sounds great.      ฟังดูเยี่ยมเลยนะ
- Let's do it            อย่างนั้นก็ได้
- You got it            นั่นแหละ
- Count me in.       ขอแจมด้วยคน

การตอบปฎิเสธ ก็พูดเลี่ยงได้หลายอย่าง
- I'd love to but...         ฉันอยากไปนะ แต่...
- I already have plans.  ฉันมีแผนอื่นแล้ว
- I'm busy on Monday. What about Friday?  วันพุธฉันยุ่ง วันศุกร์ได้ไหม
- I'm free on Tuesday. Is that OK for you? วันอังคารฉันว่าง คุณสะดวกไหม
- Oh, gee. I'm sorry. But can I have a rain check? ว้า ขอโทษด้วยจริงๆ ไว้ครวหน้าได้ไหมคะ
  (rain check เป็นสำนวน แปลว่า ขอผัด ขอเลื่อนออกไป ใช้พูดกรณีที่อยากไปแต่ไปไม่ได้)
- Oh, gee I can't. My mother is sick. โอ๊ะ ไปไม่ได้น่ะสิ คุณแม่ฉันป่วย
  (การพูดลักษณะนี้ เป็นการพูดเลี่ยงที่จะไม่ไป)

โครงสร้าง Future Perfect Continuous Tense และการใช้


โครงสร้าง Tense -> ประธาน + will have been + Verb -ing.

การใช้ Future Perfect Continuous Tense เมื่อต้องการ

1. คาดเดาหรือทำนายเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนใช้ Future Perfect Continuous Tense เหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดทีหลังใช้ Future Simple Tense

-  By the time you get home, Pop will have been flying for two hours.
   กว่าคุณจะกลับถึงบ้าน ป็อปคงนั่งเครื่องบินได้ 2 ชั่วโมงแล้ว

-  ฺWhen Professor John retires next month, he will have taught for 40 years
    ศาสตราจารย์จอร์นจะเกษียณอายุในเดือนหน้า ท่านคงสอนครบ 40 ปีแล้ว

2. เพื่อเน้นในเรื่องระยะเวลาว่าระยะเวลาของการเกิดเหตุการณ์หนึ่งได้ดำเนินไปนานพอสมควรก่อนเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้น

ข้อสังเกต -> Future Perfect Continuous Tense มีความหมายคล้ายกับ Future Perfect Tense เพียงแต่ต้องการเน้นถึงการต่อเนื่องของการกระทำว่าได้ดำเนินต่อเนืองกันไป แม้เมื่อถึงเวลานั้น การกระทำยังคงดำเนินอยู่ต่อไปอีกโดยไม่ได้หยุด

โครงสร้างและการใช้ Future Perfect Tense


โครงสร้าง Future Perfect Tense -> ประธาน + will have + Verb 3 (กริยาช่องที่ 3)

การใช้ Future Perfect Tense เมื่อต้องการ

1. กล่าวถึงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ในอนาคต เหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและสิ้นสุดก่อน ใช้ Future Perfect Tense เหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทีหลัง ใช้ Present Simple Tense

-  By the time I see you, I will have graduated.
    ก่อนที่ฉันจะพบเธอคราวหน้า ฉันคงเรียนจบแล้ว

-  ฺBy October 14, they will have married for one month.
   นับถึงวันที่ 14 ตุลาคม พวกเขาคงแต่งงานครบ 1 เดือนพอดี

2. ใช้ Future Perfect Tense เพื่อเน้นว่าเหตุการณ์หนึ่งคงจะเสร็จสิ้นแล้วก่อนเวลาหนึ่ง หรือก่อนเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้น มักมีคำหรือ กลุ่มคที่บอกเวลากำกับ เช่น by tomorrow , by next week , by the end of March , etc.

โครงสร้างและการใช้ Future Continuous Tense


โครงสร้าง Future Continuous Tense -> ประธาน + will be + Verb -ing.

การใช้ Future Continuous Tense เมื่อต้องการ

1. คาดการว่าในอนาคตในขณะนั้นจะมีเหตุการณ์หนึ่งกำลังเกิดขึ้น

-  I will be teaching when you arrive.
   (ฉันจะเริ่มสอนเมื่อคุณมาถึง)

-  At the same time tomorrow, I will be waiting for you in the park.
    (ในเวลาเดียวกันของพรุ่งนี้ ฉันจะรอคุณที่สวนสาธารณะ)

2. เมื่อต้องการถามหรือบอกว่ามีแผนการหรือมีความต้งใจที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง ณ เวลาใด เวลาหนึ่งในอนาคต

-  I will be learning a piano lesson at 6 o'clock tomorrow.
   (ฉันจะเริ่มเรียนบทเรียนเปียโน 6 โมงเช้าพรุ่งนี้)

คำบอกเวลาในภาษาอังกฤษที่พบบ่อย

Yet (ยัง) - Just (เพิ่งจะ) - Already (เรียบร้อยแล้ว) - Almost (เกือบ)

Have you finished your homework ?
คุณทำการบ้านเสร็จหรือยัง

Almost. (Very soon)
เกือบเสร็จแล้ว (ในไม่ช้านี้)

Not yet. (Soon)
ตอนนี้ยังไม่เร็จ (ในอีกไม่ช้าจะเสร็จ)

I just finished. (1-5 minutes ago)
ฉันเพิ่งจะเสร็จ (เสร็จแล้วประมาณ 1-5 นาที)

I already finished. (5 minutes and longer)
ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว (เสร็จมาแล้ว 5 นาทีเป็นอย่างน้อย)

Ago (ที่ผ่านมา) - In (ในเวลา)

When did you graduate?
คุณจบการศึกษาเมื่อไหร่

I graduated 2 years ago.
ฉันจบการศึกษาเมื่อสองปีที่แล้ว

When will you graduate ?
คุณจะจบการศึกษาเมื่อไหร่

I will graduate in 2 years.
ฉันจะจบการศึกษาในอีกสองปี

Until (จนกระทั่ง/จนกว่า/จนถึง)

It was a good movie until the end.
มันเป็นภาพยนตร์ที่ดีจนถึงตอนจบ

You can't leave until you are finished.
คุณออกไปไม่ได้จนกว่าคุณจะทำเสร็จ

I waited until 10.30, but he stood me up.
ฉันรอจนถึงสิบโมงครึ่ง เขาจึงมา

Tuesday, July 22, 2014

Recommend, Suggestion, Advice ต่างกันยังไง

Recommend คือการแนะนำสิ่งดีหรือสิ่งที่เหมาพสม หรือสิ่งที่ควรกระทำโดยเฉพาะ  เช่น

- I will recommend you the chicken in mushroom sauce
   ฉันขอแนะนำไก่ในซุปเห็ด

- She has been recommend for promotion.
   เธอได้รับการเสนอชื่อให้เลื่อนตำแหน่ง

Suggestion เป็นการพูดแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ผู้ฟังนำไปพิจารณา เช่น

- I suggest a white wine with your salmon, Sir?
   ผมขอแนะนำไวน์ขาวกับแซลม่อนครับท่าน

- We are talking about where to hold our party and I suggest the Italian restaurant near the train station.
   พวกเรากำลังหารือกันว่าจะจัดง่านเลี้ยงของพวกเราที่ไหนดี และฉันก็เสนอไปว่าร้านอาหารอิตาเลี่ยนข้างๆ สถานี้รถไฟ

Advice เป็นการเสนอความคิดเห็นให้แก่อีกฝ่ายในสิ่งที่ควรกระทำ

- I think I'll take your advice and get the green dress.
   ฉันกำลังคิดว่าจะเชื่อคำแนะนำของเธอ แล้วใส่ชุดสีเขียว

- Can you give me a piece of advice?
   เธอให้คำแนะนำฉันสักหน่อยได้ไหม

ข้อระวัง
อย่าสับสนระหว่าง advice กับ advise คำว่า advice เป็นคำนามดังที่แสดงให้ดูข้างต้น ส่วน advise เป็นคำกริยา เช่น

- I advise you to sleep at least 8 hours per day.
  ฉันขอแนะนำให้คุณหลับอย่างน้อยวันละ 8 ช.ม.


English Conversation : At coffee shop

English Conversation : At coffee shop

Robert : Good morning, Preaw. How are you today ? 
             สวัสดีตอนเช้าแพรว สบายดีไหม

Preaw : Very well, thank you , Robert. And how are you ?
             สบายดีมากค่ะ ขอบคุณ โรเบิร์ต แล้วคุณล่ะ

Robert : I just recover from illness.
             ผมเพิ่งหายป่วยน่ะ

Preaw : I'm sorry about that. So, what had happened ?
             เสียใจด้วยนะคะ เอ่อ แล้วคุณเป็นอะไรค่ะ

Robert : Maybe I work too much.
             สงสัยจะเป็นเพราะทำงานหนักไปหน่อย

Preaw : What do you do ?
             คุณทำงานอะไรค่ะ

Robert : I work as a product manager at TCR company.
             ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายสิ้นค้าของบริษัททีซีอาร์ ครับ

Preaw : Anyway, I'd advise you to take a rest enough.
            ยังไงก็ตาม ฉันคิดว่าคุณควรจะพักผ่อนให้เพียงพอนะ

Robert : Thanks for your advice.
              ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ

Preaw : You're welcome
             ด้วยความยินดีค่ะ

การใช้ For, during

For และ during

เราใช้ for + ระยะเวลา เพื่อบอกว่าเหตุการณ์ดำเนินอยู่เป็นเวลานานเท่าใด เช่น for two hours (เป็นเวลา 2 ชั่วโมง),  for a week (เป็นเวลา 1 สัปดาห์), for ages (เป็นเวลานานแสนนาน)

ตัวอย่างประโยค
  • We watched TV for two hours last night.
  • John is going away for a week in September.
  • Where have you been? I've been waiting for ages.
ใช้ during + noun เพื่อบอกว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาใด (ไม่ใช่นานเท่าใด) เช่น during the movie= ระหว่างดูภาพยนตร์,  during our holiday = ในช่วงวันหยุดของเรา, during the night = ในช่วงกลางคืน

ตัวอย่างประโยค
  • I fell asleep during the movie.
  • We met some really nice people during our holiday
  • The ground is wet. It must have rained during the night.
เมื่อใช้ time words (คำบอกเวลา) เช่น the morning / the afternoon / the summer โดยปกติเราใช้ in หรือ during เช่น
  • It must have rained in the night. หรือ during the night.
  • I'll phone you sometime during the afternoon. หรือ in the afternoon.
คุณจะใช้ during เพื่อบอกว่าเหตุการณ์ดำเนินไปนานเท่าใดไม่ได้ เช่น
  • It rained for three days without stopping. (ไม่ใช่ during three days)
เปรียบเทียบ during และ for กับประโยคต่อไปนี้
  • I fell asleep during the movie.  และ I was asleep for half an hours.

สรูปคือ for ใช้บอกว่าทำอะไรเป็นระยะเวลาเท่าไร แต่ during บอกว่าคุณทำอะไรเป็นเวลาช่วงไหน แต่ไม่บอกระยะเวลาของการกระทำนั้น



Say และ Tell ใช้ต่างกันยังไง

ถ้าคุณต้องการระบุว่า ใครพูดกับใคร ใช้ tell (บอก) เช่น
  • Jane told me that you were in hospital. (ไม่ใช่ Jane said me)
  • What did you tell the police? 
ถ้าใช้ say (พูด) จะใช้โดยไม่ต้องบอกว่าพูดกับใคร เช่น
  • Jane said that you were in hospital. (ไม่ใช่ Jane told that...)
  • What did you say?
แต่คุณตะใช้  "say something to somebody" ก็ได้ เช่น
  • Jane said goodbye to me and left. (ไม่ใช่ Jane said me goodbye)
  • What did you say to the police?

Friday, July 18, 2014

โครงสร้าง Future Simple Tense และการใช้


โครงสร้าง Future Simple Tense -> ประธาน + will + Verb 1 (base form)

การใช้ Future Simple Tense เมื่อต้องการ

1. บอกการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ไม่ได้ตั้งใจหรือวางแผนไว้ล่วงหน้า 
  • Oh! It's going to rain. I will get an umbrella. (โอ้ว! ฝนกำลังจะตก ฉันจะไปเอาร่มมา)
2. ต้องการคาดเดา หรือทำนายเหตุการณ์ ทีจะเกิดขึ้นในอนาคต
  • I will pass the examination. Don't worry! (จะผ่านการทดสอบ ไม่ต้องกังวล)
3. บอกการกระทำที่ตัดสินใจฉับพลันว่จะทำอะไรในขณะที่พูด
  • Oh! I have left the door open. I'll go and shut it. (โอ้ว! ผมได้เปิดประตูทิ้งไว้ ผมจะไปปิดมัน)
4. เสนอความช่วยเหลือหรือให้บริการ
  • It's very hot. I'll turn on the fan for you. (มันร้อนมาก ผมจะไปเปิดพัดลมให้คุณ)
5. เมื่อตอบตกลงใจหรือปฎิเสธที่จะกระทำบางสิ่งบางอย่าง
  • Would you like tea or coffee? I will have coffee please. (คุณต้องการชาหรือกาแฟดีค่ะ -> ผมเอากาแฟครับ)
6. เมื่อต้องการขอร้องให้ผู้อื่นกระทำบางอย่าง
  • Will you buy some stamps for me, please ? (คุณช่วยไปซื้อแสตมป์ให้ฉันหน่อยได้ไหม)
7. เพื่อให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำหรือไม่ทำบางสิ่งบางอย่าง
  • I will not tell anybody what you said. (ฉันจะไม่บอกใครทั้งนั้น เกี่ยวกับเรื่องที่คุณพูด)
8. ใช้ในประโยคหลักของ if-clause (ที่เป็น Present Simple Tense)
  • If I need any help, I will ask you. (ถ้าฉันต้องการความช่วยเหลือ ฉันจะถามคุณ)
ข้อสังเกต -> 

1. Future Simple Tense มักมีคำบอกเวลากำกับไว้ เช่น
  • tomorrow , next day , in a few weeks , in 2002 , in the near future , in the following year , the day after tomorrow , when you are grown up , this afternoon , in 5 minutes , within three years , presently , soon , as soon as possible , etc.
2 มักใช้กับสำนวน
  • Probably       : I will probably sleep late tonight.
  • (I am) sure    : I am sre Mark will like her.
  • I expect        : I expect Suda will arrive on time.
  • I think           : I think the present will please her.

การใช้ Past Perfect Continuous Tense


โครงสร้าง -> ประธาน + had been + Verb - ing.

การใช้ Past Perfect Continuous Tense เมื่อต้องการ

1. ใช้ Past Perfect Continuous Tense เมื่อมีเหตุการณ์ในอดีตเกิดขึ้น 2 เหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและสิ้นสุดแล้ว ใช้ Past Perfect Continuous Tense เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังใช้ Past Simple Tense
  • Ann woke up in the middle of the night. She had been dreaming
  • Wittaya was very tired. He had been working hard

ข้อสังเกต -> ความจริง Past Perfect Continuous Tense เป็นอดีตของ Present Perfect Continuous Tense นั่นเอง ดูจากการเปรียบเทียบ

- She is out of breath. She has been running. (เน้นผลการกระทำในปัจจุบัน)

- She was out of breath. She had been running (เน้นผลการกระทำในอดีต)

โครงสร้าง Past Perfect Tense และการใช้


โครงสร้าง Past Perfect Tense  -> ประธาน + had + Verb 3 ( กริยาช่องที่ 3)

การใช้ Past Perfect Tense เมื่อต้องการ

1. มักใช้ Past Perfect Tense คู่กับ Past Simple Tense เพื่อบอก เหตุการณ์ในอดีต 2 เหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนใช้ Past Perfect Tense เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังใช้ Past Simple Tense
     เหตุการณ์ที่ 1 :  Mary went out at 10 o'clock
     เหตุการณ์ที่่ 2 : I arrived at 11 o'clock.
       = Mary had gone out when I arrived.
     เหตุการณ์ที่ 1 :  I was pleased to meet Tukta
     เหตุการณ์ที่่ 2 : I did not see her for 3 years.
       = I was pleased to see Tukta because I had not seen her for 3 years.


2. ใช้กับ if-clause เมื่อประโยคหลักเป็น would, could, might + have + Verb 3
  • He would have told her if he had met her.
3. ใช้ในประโยคหลัง I wish เพื่อบอกความหมายที่ตรงข้ามกับที่พูดในอดีต
  • I wish I had met her five years ago.  = ฉันหวังว่าจะเจอเขาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว (ความจริงไม่ได้เจอกัน)
  • I wish she had not died. = ฉันหวังว่าเขาจะยังไม่ตาย (ความจริงคือเธอตายแล้ว)
4. มักใช้ในประโยคที่มีคำว่า already , after
  • He had already gone when I arrived.
  • After Wittaya had watched the Business program in Channel 3, he went out.

ข้อสังเกต -> 
ความแตกต่างระหว่าง Past Perfect Tense กับ Present Perfect Tense คือ 

Present Perfect Tense   สัมพันธ์กับ   Present Simple Tense
Past Perfect Tense       สัมพันธ์กับ    Past Simple Tense
  • I'm not hungry. I have had breakfast. เน้นผลการกระทำในปจจุบัน
  • I was not hungry. I had had breakfast. เน้นผลการกระทำในอดีต

โครงสร้าง Past Continuous Tense และการใช้


โครงสร้าง Past Continuous Tense -> ประธาน + was (were) + Verb -ing.

วิธีใช้ Past Continuous Tense เมื่อต้องการ

1. บอกเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นในอดีต
  • This time of year I was studying in Paris.
  • She was flying to Vietnam at 9.30 last night.
2. ใช้คู่กับ Past Simple Tense เมื่อต้องการบอกว่า ขณะที่เหตุการณ์ หนึ่งกำลังดำเนินอยู่ในอดีต มีอีกเหตุการณ์หนึ่งกำลังเกิดขึ้นกลางคัน เหตุการณ์ทีกำลังดำเนินอยู่ใช้ Past Continuous Tense เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังใช้ Past Simple Tenese
  • John came while we were eating  (จอร์นมาตอนที่เรากำลังกินข้าวกันอยู่ -> เหตุการณ์ผ่านมาแล้ว)
  • Last night I was sleeping in bed when I suddenly heard a scream. (เมื่อคืนนี้ ฉันกำลังนอนหลับอยู่ ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้น)

ข้อสังเกต -> คำกริยาที่ไม่ใช้กับ Present Continuous Tense ก็ไม่นิยมใช้กับ Past Continuous Tense เช่นเดียวกัน

โครงสร้าง Past Simple Tense และการใช้


โครงสร้าง Past Simple Tense -> ประธาน + Verb 2 (กริยาช่องที่ 2)

การใช้ Past Simple Tense เมื่อต้องการ

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดแล้วในอดีต โดยมักมีคำวิเศษณ์ บอกเวลาขยาย เช่น yesterday, two months ago, in 1984, when I was in my third year, in the previous year, last..., this morning, once upon a time, long time ago, during the World War II
  • Nat was a taxi-driver. (นัทเคยเป็นคนขับรถแท็กซี่)
  • Jina visited many museums when she was in Australia (จีนาไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฐ์มามากมาย เมื่อตอนที่เขายังอยู่ที่ออสเตรเลีย)
2. ใช้กับประโยคหลัง I wish เพื่อบอกความหมายที่ตรงกันข้ามกับ ที่พูดในปัจจุบัน
  • I wish I knew him. (ฉันหวังว่าจะรู้จักเขา -> ความจริงคือฉันไม่รู้จักเขา)
3. ใช้เพื่อเล่าเรื่องราวในอดีตว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
  • Last year I went in to the forest. I saw a huge animal. It was very fierce..
4. ใช้ในประโยค if-clause ซึ่งมีประโยคหลักเป็น would, could, might + คำกริยาช่องที่ 1 (base form)
  • It might see him if I went earlier. (ฉันอาจได้เจอเขาถ้าฉันไปเร็วกว่านี้)
5. ใช้กับเหตุการ์ที่ทำเป็นประจำหรือเป็นนิสัยในอดีต
  • I liked to play baseball when I was a child. (ฉันชอบเล่นเบสบอลเมื่อตอนฉันยังเป็นเด็ก)
  • Dad smoked 20 cigarettes a day from 1970-1975
6. ใช้กับคำกริยาบางคำที่บอกเหตุการณ์ในอดีต และไม่เกี่ยวของกับปัจจุบันอีก เช่น
  • Shakespeare wrote Macbeth. (เช็คสเปียร์เคยเขียนหนังสือ Macbeth -> การเขียนสิ้นสุดลงแล้ว)
  • The Chinese invented printing (การประดิษฐ์สิ้นสุดลงแล้ว)
7. ใช้คู่กับ Tenses อื่นเช่น Present Perfect Tense, Past Perfect Tense, Past Continuous Tense, If-Clause (Present Unreal) 

การใช้ Present Perfect Continuous Tense


โครงสร้าง -> ประธาน + have (has)+ been +Verb-ing.

การใช้ Present Perfect Continuous Tense เมื่อต้องการ

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เริ่มต้นในอดีต และยังคงดำเนินอยู่ในขณะที่พูด
  • She has been cooking for 45 minutes. หมายความว่า เขาทำอาหารมา 45 นาทีแล้ว ตอนนี้ก็กำลังทำอยู่
  • The child has been crying since 8 o'clock หมายความว่า เด็กร้องไห้มาตั้งแต่ 8 โมงแล้ว ตอนนี้ก็ยังร้องอยู่
2. กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต อาจสิ้นสุดแล้ว หรือยังไม่สิ้นสุดก็ได้ แต่เน้นที่การกระทำมากกว่า ผลของการกระทำ
  • He has been repairing the car. (เน้นว่าเขาซ่อมรถเป็นเวลานานแล้ว -> อาจจะกำลังซ่อมอยู่หรือไม่ซ่อมก็ได้  แต่ไม่ได้แปลว่ารถวิ่งได้แล้ว)
  • Pare has been working hard all day. หมายความว่า แพรทำงานหนักตลอดทั้งวัน ขณะนี้ก็มีท่าทางเหนื่อยอยู่ (ไม่เน้นถึงงานที่ทำ)
3. มักใช้คำว่า how long, since, for
  • He has been painting for two hours. (เขาได้ระบายสีมาเป็นเวลา 2 ชม. แล้ว)

*ข้อสังเกต

1. Present Perfect Continuous Tense มีความหมายคล้ายกับ Present Perfect Tense แต่ Present Perfect Continuous Tense เน้นการกระทำ และระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ ส่วน Present Perfect Tense เน้นที่ผลที่เกิดจากการกระทำ

2. คำกริยาที่ไม่ใช้ใน Present Continuous Tense ก็จะไม่นำมาใช้กับ Present Perfect Continuous Tense เช่นกัน

โครงสร้าง Present Perfect Tense และการใช้ตามเหตุการณ์ต่างๆ


โครงสร้าง Present Perfect Tense -> ประธาน + have (has)+ Verb 3 (กริยาช่องที่ 3)

การใช้ Present Perfect Tense เมื่อต้องการ

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและพึ่งเสร็จสิ้น สามารถเห็นผลของการกระทำนั้นได้
  • I have written a letter. (ฉันเขียนจดหมายเสร็จแล้ว -> จดหมายนั้นยังวางอยู่บนโต๊ะ)
  • He has taken a bath. (เขาอาบน้ำเสร็จแล้ว -> ตัวอาจจะยังเปียกอยู่)
2. ใช้บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอดีต และดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในไทยหมายถึง เคย... (หากต้องการพูดว่า ไม่เคย...   ให้เติมคำว่า never ลงไป)
  • Dream has (never) studied Spanish. หมายถึง ดรีมเคย (หรือไม่เคย) เรียนภาษาสเปน 
  • Have you eaten crocodile meat? หมายความว่า คุณเคยกินเนื้อจระเข้ไหม (ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้)
3. แจ้งข่าว หรือประกาศข่าวที่พึ่งเกิดขึ้นให้ผู้อื่นทราบ
  • Ow! I have burnt myself! (โอ๊ย! ไฟไหม้มือฉัน)
4. ใช้กับประโยคคำถามที่มีคำว่า ever
  • Have you ever met Kitty? (คุณเคยเจอคิตตี้ไหม) 
5. ใช้หลังคำว่า when, after, until เพื่อแสดงว่าเหตุการณ์ได้สิ้นสุดลงแล้วก่อนเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่ง
  • Wait until he has gone.  (รอจนกระทั่งเขาไป)
  • When I have written the report , you can borrow my pen. (เมื่อฉันได้เขียนรายงาน คุณสามารถยืมปากกาฉัน)
6. ใช้ Present Perfect Tense หากมีคำหรือข้อความต่อไปนี้
  • ข้อความที่เป็นการเปรียบเทียบขั้นสูงสุด เช่น It is the most expensive car I have known.
  • This is the first time, It is the first ตัวอย่างประโยค เช่น This is the first time I have seen it (นี่เป็นแรกเลยที่ฉันเห็นมัน)
  • So far. (จนกระทั่งบัดนี้) ตัวอย่างประโยค They haven't moved to New York so far.
  • In the last few days... หรือ in the past few years. ตัวอย่างประโยคเช่น It has rained a lot in the past few days.
  • just, yet, recently, lately, once, twice ตัวอย่างเช่น Pop has not seen snow yet. หรือ The teacher has just arrived.
  • since, for  (since ใช้บอกหน่วยเวลา, for ใช้บอกช่วงหรือ ระยะเวลา) ตัวอย่างเช่น 
    • He has lived here since 1972  (เขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปี 1972)
    • They have known each other for years (เขารู้จักคนอื่นๆมาเป็นเวลา 1 ปี)
  • today, this week (month, year) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังไมสิ้นสุดในขณะที่พูด ตัวอย่างประโยค
    • Have you had a holiday this year?
  • ใช้ I have been to ......   เพื่อต้องการบอกว่าไปแล้ว แต่กลับมาแล้ว เช่น I have been to Bangkok.
  • ใช้ I have gone to ......   เพื่อต้องการบอกว่าไปแล้วแต่ยังไม่กลับมา เช่น The nurse has gone for dinner.        

โครงสร้าง Present Continuous Tense และการใช้


โครงสร้าง -> ประธาน + Verb to be (is, am, are)+ Verb เติม ing.

การใช้ Present Continuous Tense เมื่อต้องการ

1. ใช้บอกเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริง ในขณะที่พูด
  • The wind is blowing  (ขณะที่พูดลมกำลังพัดอยู่)
  • The telephone in the bedroom is ringing while we are eating (เสียงโทรศัพท์ในห้องนอนดังขึ้น ขณะที่เรากำลังรับประทานอาหารอยู่)
2. ใช้บอกเหตุการ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น แต่ไม่จำเป็นต้องกำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูด
  • Mook is writing a novel. (หมายความว่า มุกได้เริ่มเขียนนวนิยายแล้ว แต่ขณะพูดอาจไม่ได้กำลังถือปากกาเขียน)
  • Decha is building his own house. (บ้านของเดชากำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ขณะพูด เดชาอาจกำลังพักผ่อนก็ได้)
3. ใช้บอกสถานที่ที่เปลีย่นแปลงไปจากเดิม
  • Is your French getting better? (ความสามารถในการใช้ภาษาฝรั่งเศสของคุณ กำลังดีขึ้นใช่ไหม คือเปลี่ยนจากไม่ดีเป็นดี)
  • The cost of living is increasing every year. (ค่าครองชีพกำลังเพิ่มค่าสูงขึ้นเรื่อยๆทุกๆปี)
4. ใช้หลัง while เมือประโยคหลักเป็นปัจจุบันกาล
  • While we are sleeping, everything is quiet. (ขณะที่เรากำลังนอนหลับ ทุกๆสิ่งเงียบสงัด)
5. ใช้กับประโยคที่ส่วนหน้าเป็นคำอุทาน
  • Listen! The bird is singing (ฟังสิ! นกกำลังร้องเพลง)
6. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งในปัจจุบัน ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นประจำ
  • Why are you wearing your coat today? It's very warm. (ทำไมคุณถึงใส่เสื้อโค้ทมาวันนี้ อากาศอุ่นมากๆ)
7. ใช้กับเหตุการณ์ หรือแผนการที่ตั้งใจทำในอนาคต
  • I'm going to the library this afternoon (ฉันจะไปห้องสมุดตอนบ่ายนี้)

ข้อสังเกต ->  ประโยค Present Continuous Tense มักมีคำบอกเวลาประกอบคือ at the moment, today, these days, this season, this week, this year, at present, now , etc.

โครงสร้าง Present Simple Tense และการใช้


โครงสร้าง Present Simple Tense -> ประธาน + Verb 1 (กริยาช่องที่ 1)
(ถ้าประธานเป็นคนเดียว, สิ่งเดียว กริยาต้องเติม s, es )

กฎการเติม s, es ดูได้ที่  ->  กฎการเติม s, es

การใช้ Present Simple Tense เมื่อต้องการ

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่กระทำเป็นประจำหรือบ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน
  • Ploy eats som-tam หมายความว่า พลอยกินส้มตำเป็นประจำหรือบ่อยๆ
  • A bird flies หมายความว่า การที่นกบินเป็นเรื่องปกติ หรือบินบ่อยๆ
2. ใช้อธิบายข้อมูลที่เป็นจริงของบุคคล
  • Oat works for a bank  หมายความว่า ปัจจุบันโอ๊ตทำงานที่ธนาคาร
  • I have 3 brothers หมายความว่า ฉันมีพี่(น้อง) ชาย 3 คน
3. ใช้บรรยายความเป็นจริงตามธรรมชาติ
  • The earth is round   (โลกกลม)
  • The rainbow consists of seven colours. (สายรุ้งประกอบด้วย 7 สี)
4. ใช้อธิบายลักษณะนิสัย รูปร่าง บรรยายสภาพปัจจุบันของ คน สัตว์ สิ่งของ
  • The River Nile flows from The South to The North.
5. ใช้บอกตารางหรือกำหนดการต่างๆ
  • The bus leaves Khon Kaen at 8.30 a.m.   (รถประจำทางออกจากขอนแก่นเวลา 8 โมงครึ่ง)
  • The football match starts at 10.00 p.m.  (ฟุตบอลเริ่มแข่งตอน 4 ทุ่ม)
6. ใช้หลังคำเชื่อม as soon as, when, till, until ซึ่งประโยคหลักเป็นอนาคตกาล
  • We will make a decision as soon as you are ready. (เราควรตัดสินใจทันที เมื่อคุณพร้อม)
  • Most people learn to swim when they are young. (คนส่วนใหญ่จะเรียนว่ายน้ำ ตอนที่เขายังเป็นเด็ก)
7. ใช้กับ if-clause ซึ่งมีประโยคหลักเป็น Future Simple Tense
  • I will play the piano if you give me that present (ฉันจะเล่นเปียโน ถ้าคุณให้ของขวัญนั่นกับฉัน)
8 คำกริยาต่อไปนี้นิยมใช้ในรูป Simple Tense คือ want, like, belong, know, suppose, need, love, see, realize, mean, remember, forget, prefer, hate, hear, believe, understand, seem
  • The students do not understand the question. (นักเรียนไม่เข้าใจคำถาม)
  • The factory belongs to me. (โรงงานเป็นของฉัน)
ข้อสังเกต ->  ประโยค Present Simple Tense มักมีคำกริยาวิเศษณ์ ต่อไปนี้ประกอบอยู่ เช่น always, often, usually, sometimes, everyday, twice, weekly, once in a while, in summer, in the morning, during winter, in the rainy season,  etc.

สามารถอ่านศัพท์ความถี่เพิ่มเติมได้ที่ >>> คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความถี่

Thursday, July 17, 2014

ประโยคคำถามที่ควรเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าตอนสมัครงาน

How do you know about our organization ?
= คุณรู้จักองบริษัท (องค์การ) ของเราได้อย่างไร

Have you participated in any volunteer or community work ?
= คุณเคยร่วมงานอาสาสมัครหรืองานชุมชนบ้างไหม

How did previous employers treat you ?
= นายจ้างคนเก่าปฎิบัติต่อคุณอย่างไร

Do you like routine work?
= คุณชอบงานประจำไหม

What are your future vocational plans ?
= คุณวางแผนอาชีพในอนาคตที่ไหน อย่างไร

What was your overall grade-point average ?
= คุณได้เกรดเฉลี่ยทั้งหมดเท่าไร

What was your grade-point average in your major field ?
= ในวิชาเอกคุณได้เกรดเฉลี่ย เท่าไร

What courses did you enjoy while in university?
= ในมหาวิทยาลัยคุณชอบวิชาไหน

What courses did you enjoy least ?
= วิชาไหนที่คุณชอบน้อย

What position are you most interested?
= คุณสนใจตำแหน่งไหนมากที่สุด

การเขียนบันทึกทางโทรศัพท์ Talking a Telephone Message


Johnson : Hello. Is this P.N. Company ?  (สวัสดีครับ บริษัทพีเอ็นใช่ไหมครับ)

Secretary : Yes, it is. Who's calling please ?    (ใช่ค่ะ ใครพูดคะ)

Johnson : This is Johnson from CM Company. May I speak to the chief clerk Mr.Somchai (ผมจอนห์นสันครับ จากบริษัทซีเอ็ม ขอเรียนสายหัวหน้าเสมียน คุณสมชาย)

Secretary : I'm afraid he's not in at the momonet. Would you like to leave a message ? (ตอนนี้เขาไม่อยู่ค่ะ ต้องการทิ้งข้อความอะไรไว้ไหมค่ะ)

Johnson : Is there anyone else who knows about the T project ?
               (มีใครอื่นมั้ยที่รู้เกี่ยวกับโครงการ ที)

Secretary : I'm sorry Mr.Somchai is the only one who is authorized to speak on that matter. (ต้องขอโทษด้วยนะคะ คุณสมชายเป็นคนเดียว ที่มีอำนาจในการคุยโครงการนี้คะ)

Johnson : I see. could you get him call me when he returns ?
                (เข้าใจแล้วครับ เขากลับมาเมื่อไหร่ช่วยให้เขาโทรหาผมได้ไหมครับ)

Secretary : Certainly. May I have your telephone number ?
                 (ได้ค่ะ กรุณาบอกเบอร์โทรศัพท์ของคุณด้วยค่ะ)

Johnson : New York 321-4267. (นิวยอร์ก 321-4267)

Secretary : 321-4267 in New York ?  (นิวยอร์ก 321-4267 ใช่ไหมค่ะ)

Johnson : That's right Please pass on my message.
               (ใช่ครับ ฝากบอก เขาด้วยนะครับ)

Secretary : Certainly. Good-bye. (ได้ค่ะ สวัสดีค่ะ)

การอ่านเบอร์โทรศัพท์ และบ้านเลขที่ ที่อยู่ภาษาอังกฤษ

ตัวอย่างการอ่านเบอร์โทรศัพท์

Tel : 2140478 = two one five , oh five , seven eight

Tel : 02-745-5874 = oh two , seven four five , five eight seven four

การอ่านตัวเลขซ้ำกันสองตัวสามารถใช้ใช้ double มาแทนได้ เช่น

Tel : 02-374-5509 = oh two , three seven four , double five oh nine


การอ่านบ้านเลขที่และการเขียน ที่อยู่ภาษาอังกฤษ

เลขที่บ้าน 42/15 หมู่บ้านกรีนการ์เดน ถนน เพชรเกษม

= fourty-two stroke fifteen , Green Garden Village , Petchkasem Road

ห้อง 602 ชั้น 4 ตึก P.A.

= Room six hundred two , the fourth floor , P.A. Building


การอ่าน ทศนิยม (Decimals) ภาษาอังกฤษ


จุด ( . ) นั้น เราจะใช้คำว่า point 

* เลขหน้าจุดนั้น จะอ่านอย่างการนับธรรมดา
* เลขหลังจุดน้น จะอ่านแบบเรียงตัว
* สำหรับเลขศูนย์ จะอ่านได้ 3 แบบ

    1.  oh (โอ)
    2.  zero (ซีโร่)
    3.  naugh (น็อท)

ตัวอย่าง

5.27              = five point two seven

107.04          = one hundred five point oh four

2324.0986    = two thousand, three hundred twenty-four point oh nine eight six

.22                = point two two

.056              = point oh five six

23.75            = twenty-three point seven five

Wednesday, July 16, 2014

I'm fine Thank you. and you ?

ถ้าคุณยังคุ้นชินกับการพูดว่า I'm fine Thank you. and you ? คุณอาจต้องประหลาดใจว่า สิ่งที่คุณได้เรียนรู้คำนี้จากที่โรงเรียนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สุด ยังมีคำอีกหลายคำที่คุณสามารถเลือกใช้ได้ การใช้ I'm fine Thank you. and you ? ที่เราๆถูกสอนมา ถูกต้องตามกฎไวยากรณ์ แต่ก็คงไม่ถือว่าดีที่สุด เพราะถ้าตามภาษาไทยจริงๆ ถามว่าสบายดีไหม เราก็คงไม่ตอบแค่สบายดี แล้วคุณล่ะ หรอกจริงไหมครับ

 What can I use instead of “I’m fine thank you, and you? 
 แล้วอะไรหล่ะ ที่เราสามารถพูดแทนคำว่า ฉันสบายดี ขอบคุณ แล้วคุณหล่ะ



 + ถ้าในทางบวก ก็จะมีคำเช่น

 I’m doing well!  How are you? หรือจะใช้ I'm doing fine ก็ได้ บอกว่าคุณสบายดี

 I’m great, thanks! หรืออาจจะใช้ I’m terrific! ,I’m wonderful! เป็นการบอกว่าคุณรู้สึกดี แนวใส่อรรถรสเพิ่ม

 I’m good, thanks.  How are you?

 I'm so-so (ก็งั้นๆ)

 Not bad, you?  (สบายๆ , ปกติ , หรือประมาณแปลว่า ก็งั้นๆ)

 Same old, you?  (ก็ปกติ เหมือนๆเก่า or so-so)


 - ถ้าในทางลบ

 Not so well. (ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจจะตามด้วยเหตุผลสั้นๆว่าทำไม)

 Terrible (แย่ อาจจะตามด้วยเหตุผลสั้นๆว่าทำไม)

 I’'m not so good. (ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี)

Tuesday, July 15, 2014

Make Friends

Jane : Hi, I'm Jane .
          (สวัสดี ฉันชื่อเจน)
Pond : Hello, I'm Pond, nice to meet you. 
          (สวัสดีครับ ผมชื่อปอนด์ ยินดีที่ได้รู้จัก )
Jane : I'd like you to meet my friend, Mint. 
          (นี่เพื่อนของฉันค่ะ มิ้น)
Mint : Hi, Nice to meet you 
          (สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก)
Pond : Hello. Same here. Where are you from. Mint?
          (เช่นกันครับ บ้านเกิดคุณมิ้นอยู่ไหนครับ )
Mint: I'm from Chiang Mai.  
          (เชียงใหม่ค่ะ)
Pond : When did you move to Bangkok? 
          (แล้วย้ายมากรุงเทพฯ เมื่อไหร่ครับ )
Mint: I moved here after I graduated from college. Where are you from?  
         (ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยค่ะ แล้วปอนด์ละค่ะ)
Pond : Yeah, right. I was born in Bangkok Yai and we moved to Yao Wa-rart when I was 10. What about you Jane?
           (จริงสิครับ ผมเกิดที่บางกอกใหญ่ อายุ 10 ขวบ ก็ย้ายมาอยู่เยาวราช แล้วเจนล่ะ)
Jane : I was born and raised in Bang Na. We never moved. 
          ( ฉันเกิดที่บางนาและอยู่ที่บางนาตลอดค่ะ )
Mint:  What do you do. Pond? (ปอนด์ทำงานอะไรค่ะ)
Pond : I'm a sophomore at Bangkok University, majoring in business management. And you?
           (ผมเรียนอยู่ ปี 2 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เอกบริหารธุรกิจ คุณมิ้นล่ะครับ)
Mint:  I'm a sales manager at Central Department Store in Lat Phrao.
          (ฉันเป็นผู้จัดการฝ่ายขายที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวค่ะ)
Pond : What about you, Jane? (แล้วเจนล่ะ)
Jane : I'm the middle school math teacher. Tell me about your family, Pond. 
          (ฉันเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์โรงเรียนมัธยมต้น ครอบครัวคุณเป็นยังไงคะ)
Pond : I'm the middle of three kids. What about you, Mint?
           (ผมมีพี่น้อง 3 คน ผนเป็นคนกลาง คุณมิ้นละครับ)
Mint:  I'm the third of four. I have two older sisters and one younger brother.
          (ฉันเป็นลูกคนที่ 3 ค่ะ มีพี่น้อง 4 คน พี่สาว 2 คน กับน้องชาย 1 คน)
Pond : What's the age gap between you all?
           (อายุห่างกันเท่าไหร่ครับ)
Mint:  My oldest sister is six year older than me,  my other sister is four years older, and my brother is three years younger than me. What about you?
          (ห่างจากพี่สาวคนโต 6 ปี คนรอง 4 ปี และน้อง 3 ปี แล้วคุณล่ะ)
Pond:  My brother is three years older and my sister is three years younger. How about you, Jane?
         (ผมห่างจากพี่ชาย 3 ปี และน้องสาว 3 ปี ครับ คุณเจนล่ะ)
Jane : I'm the oldest of four daughters. 
          (ครอบครัวฉันมีลูก 4 คน ฉันเป็นพี่สาวคนโต)


Meeting an Old Friend (พบเพื่อนเก่า)

Pop : Hello ,  Mos. How are you ? ( สวัสดีมอส สบายดีไหม)
Mos : Not bad, and you ?  ( ก็ไม่เลว แล้วคุณล่ะ )
Pop : Very well , thanks. I'am very glad to meet you again I haven't seen you for a long time   (สบายดี ขอบคุณ ดีใจที่ได้พบคุณอีก ไม่ได้พบกันเสียตั้งนาน)
Mos :  Where are you going now ?  ( ตอนนี้คุณกำลังจะไปไหน)
Pop : I'm going to the post office (ผมกำลังไปที่ทำการไปรษณีย์)
Mos :  Shall we go to have dinner this evening ?  (เย็นนี้ทานข้าวด้วยกันหน่อยไหม)
Pop : I'm afraid I can't. I have  to meet someone.  (เกรงว่าจะไม่ได้ ฉันมีนัดแล้ว)
Mos :  What about next time ? (งั้นเอาไว้โอกาสหน้าดีไหม)
Pop:  Fine. (ตกลง)
Mos : I'm very pleased to talk with you  (ดีใจมากที่ได้คุยกับคุณ)
Pop : Goodbye. See you later   (สวัสดี แล้วพบกัน)
Mos : Goodbye. See you (สวัสดี ไว้เจอกัน)


Monday, July 14, 2014

General Conversation

A: Where do you come from?  (คุณมาจากไหนครับ)
B: I come from Bangkok.   (ผมมาจากกรุงเทพฯ ครับ)
A: How is Bangkok?   (กรุงเทพฯ เป็นเมืองอย่างไร)
B: ฺ Bangkok is the capital of Thailand.  (กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย)
A: Is Bangkok a big or small city? (กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่หรือเล็ก)
B: Oh, it's the biggest city in the country. (โอ้ กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศ)
A: Is it very interesting city? (เป็นเมืองที่น่าสนใจมากใช่ไหม)
B: Yes, of course, it is. (ใช่ แน่นอน เป็นเมืองที่น่าสนใจมาก)
A: What have you been doing here? (คุณมาทำอะไรที่นี่)
B: I'm a tourist.  (ผมเป็นนักท่องเที่ยว)
A: How long have you been here? (คุณอยู่ที่นี่นานเท่าไรแล้ว)
B: I have been here for seven days. (ผมอยู่ที่นี่มา 7 วันแล้ว)
A: What places did you visit?  (คุณไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง)
B: I visited many places. I enjoyed them very much. I also took lots of photographs. They are very nice.
    (ผมไปเที่ยวมาหลายที่เลย สนุกมาก ผมถ่ายรูปไว้เยอะแยะเลย สวยมากครับ)
A: Let me see.  (ไหนขอดูหน่อยสิ)
B: Here they are. (นี่ไงครับ)